ดู: 9379|ตอบกลับ: 0
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

ทดสอบ FORD "Everest โฉมใหม่"

[คัดลอกลิงก์]
ทดสอบ FORD "Everest โฉมใหม่" รถPPV ที่ดีสุดของไทย?





เอเวอเรสต์ โฉมใหม่ เริ่มทำตลาดในช่วงเวลาใกล้ๆกับ “เรนเจอร์ ไมเนอร์เชนจ์” (ไม่เหมือนค่ายญี่ปุ่นที่พอเปิดตัวปิกอัพโมเดลเชนจ์ ไม่นานก็จะปล่อยพีพีวีตามมา) ซึ่งแสดงให้เห็นว่าฟอร์ดตั้งใจและใช้เวลาพัฒนาเป็นอย่างมาก และคงไม่ต้องถามตามสืบว่า นอกจากชื่อเอเวอเรสต์แล้ว ส่วนที่เหลือของรถยนต์รุ่นนี้ แทบไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับรุ่นเก่า(ระบบรองรับหลังเป็นแหนบ)อย่างสิ้นเชิง
      
        โครงสร้างแบบบอดี้ออนเฟรม(ตัวถังวางบนแชสชีส์) ใช้พื้นฐานการพัฒนาร่วมกับปิกอัพเรนเจอร์ ซึ่งในเมืองไทยเรียกรถประเภทนี้ตามการจ่ายภาษีว่า ปิกอัพดัดแปลง “พีพีวี” ( PPV- Pickup Passanger Vehicle) แต่เวลาค่ายรถยนต์สื่อสารออกไปภายนอกมักเรียกว่า เอสยูวีเพื่อความหรูหราแทบจะทั้งหมด (เอสยูวีจะมาจากพื้นฐานรถยนต์นั่งหรือปิกอัพก็ได้)
        
        …เอาเป็นว่าจะเรียก พีพีวี หรือ เอสยูวี ก็ไม่มีอะไรผิด เพียงแต่ขอให้เข้าใจพื้นฐานการพัฒนาให้ตรงกันแค่นั้นก่อนครับ
        

        ปกติพีพีวีทั่วไปหรือที่เคยทำตลาดที่ผ่านๆมาของหลายยี่ห้อ รวมถึงฟอร์ดเอง ความนุ่มนวลในการขับขี่ก็ไม่ค่อยจะมีเมื่อเทียบกับเอสยูวีที่พัฒนามาจากพื้นฐานรถยนต์นั่ง กล่าวคือเวลาขึ้นไปนั่งยังมีอารมณ์ปิกอัพอยู่เยอะ ทั้ง ขับกระเด้ง นั่งกระดอน รุ่นไหนใช้คอยล์สปริงก็ดีหน่อยแต่ถ้าเป็นแหนบนี่ยิ่งไปกันใหญ่
      
        …ถ้านั่นคือภาพของพีพีวีที่เคยฝังหัว ซึ่งตัวผู้เขียนก็เคยจดจำสัมผัสมาเช่นนั้น แต่ยุคนี้คงใช้ไม่ได้กับ “เอเวอเรสต์ โฉมใหม่”
      
        ฟอร์ดตั้งใจสร้างเอเวอเรสต์ โฉมใหม่ ให้เป็นที่หนึ่งในทุกๆด้าน อันสอดคล้องกับสโลแกน Engineered for Extraodinary ซึ่งในเมืองไทยถูกวางตัวให้รถยนต์รุ่นธง Flagship Model (รถที่ใส่เทคโนโลยีดีที่สุด และหวังยอดขาย) และเป็นรถยนต์ที่แพงที่สุดในโชว์รูมฟอร์ดขณะนี้
      
        ภายนอกดูบึกบึนแข็งแกร่ง ตัวท็อปที่ผู้เขียนได้ลองขับใช้ล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้ว ประกบยาง Goodyear EfficientGrip SUV ขนาด 265/50 R20 (ยังไม่ต้องคิดถึงค่าใช้จ่ายตอนเปลี่ยนยาง) ภายในออกแบบหรูหราน่าสัมผัสด้วยวัสดุคุณภาพ เก็บรายละเอียดต่างๆได้ดี
      
        ในรุ่นท็อป “ ไททาเนียม พลัส” จะเพิ่มออปชันอย่าง หลังคาพาโนรามิคซันรูฟ ประตูหลัง(Tailgate)ควบคุมการเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า (คนตัวเล็กใช้มือกดปุ่มปิดประตูได้สบาย ไม่ต้องกระโดดดึงหรือใช้แรงเพื่อปิดประตู) เบาะนั่งแถวสามพับเก็บให้เรียบได้ด้วยระบบไฟฟ้า(เพียงกดปุ่มด้านข้าง) และของเล่นใหม่เพื่อความปลอดภัยอย่าง ระบบช่วยจอดอัจฉริยะ Active Park Assist (เหมือนที่มีในโฟกัส) และระบบตรวจจับรถในจุดบอด พร้อมระบบตรวจจับรถขณะออกจากซองจอด

        

        ที่ผู้เชียนชอบและเป็นออปชันมาตรฐานเหมือนกันทุกรุ่นคือ ช่องเก็บของ-วางแก้วหลายจุด รวมถึงช่องต่ออุปกรณ์ภายนอก AUX และUSB ให้มาสองช่องตรงคอนโซลกลาง
      
        สำหรับผู้โดยสารด้านหลัง(แถวสอง) สามารถควบคุมความเย็นของระบบปรับอากาศได้เอง ซึ่งใกล้ๆกันยังมีช่องต่อไฟ 12 โวลต์ และช่องเสียบปลั๊กไฟมาให้อีกด้วย(แต่เป็นปลั๊กตัวเมียแบบอเมริกา) ต่อไปใครจะชาร์จมือถือ ชาร์จโน้ตบุค ก็สบายละครับ
      
        ...แค่เข้าไปนั่งยังไม่ได้ขับก็พอจะรับรู้ถึงความ เหนือระดับของรถเอสยูวีคันนี้ ทั้งการตกแต่ง การเลือกใช้วัสดุที่ พร้อมการจัดวางปุ่มต่างๆ และออปชันเพียบ หรือเงยหน้าขึ้นไปข้างบนยังเจอหลังคาแก้วพาดเกือบจะเต็มหลังคารถ ดูหรูหราไฮโซขึ้นมาทันที
      
        ฟอร์ดยังเน้นเรื่องความเงียบภายในห้องโดยสารครับ เพราะนอกจากจะการทำการบ้านเรื่องเสียงลมปะทะหรือการไหลผ่านของอากาศกับรถคันโตเป็นอย่างดีแล้ว ภายในห้องโดยสารยังมีระบบตัดเสียงรบกวนเพื่อจัดการกับเสียงที่มีคลื่นความถี่ต่ำ โดยเฉพาะเสียงเครื่องยนต์ดีเซล 5 สูบ

        

        ฟอร์ด เอเวอเรสต์ จะติดไมโครโฟนความไวสูงสามตัวไว้ภายในวัสดุบุเพดานรถ ไมโครโฟนสองตัวแรกติดตั้งไว้บริเวณเหนือเบาะนั่งแถวหน้า และอีกหนึ่งตัวติดตั้งไว้เหนือเบาะหลัง เพื่อตรวจวัดระดับเสียงจากเครื่องยนต์ ซึ่งทั้งสามตัวนี้จะส่งสัญญาณเสียงที่ได้รับไปยังระบบควบคุมการตัดเสียงรบกวนแบบเรียลไทม์ และเมื่อได้รับสัญญาณเสียงแล้ว ระบบควบคุมในตัวรถจะทำการสังเคราะห์คลื่นเสียงที่ตรงข้ามกันเพื่อหักล้างกับเสียงรบกวนผ่านระบบเครื่องเสียงในตัวรถ(ลำโพง)เพื่อช่วยกลบเสียงเครื่องยนต์ จนสามารถตัดเสียงรบกวนได้ในช่วงย่านความถี่ 30-180 เฮิรตซ์
      
        จะว่าไประบบนี้รถราคาแพงๆก็ใช้กันหลายรุ่น อย่างในเมืองไทยเห็นมีในฮอนด้า แอคคอร์ด แต่กระนั้นก็อย่าคิดไปว่าเมื่อติดตั้งมาในฟอร์ด เอเวอเรสต์แล้ว ห้องโดยสารจะเงียบกริบหรือไร้เสียงเครื่องยนต์เลยนะครับ เพราะในความเป็นจริงผู้เขียนก็ยังได้ยินเสียงเครื่องยนต์เล็ดรอดเข้ามาอยู่พอสมควร
      
        อย่างไรก็ตามถ้าไม่นับเสียงเครื่องยนต์ดีเซล 5 สูบที่จะได้ยินชัดเวลาเข่นคันเร่ง พวกเสียงรบกวนอื่นๆ อย่างการจราจรภายนอก เสียงลมปะทะ หรือเสียงยางบดพื้นถนน เอเวอเรสต์คันนี้จัดการอยู่หมัด ภายในห้องโดยสารเงียบนิ่งอยู่ในระดับที่น่าพอใจเลยทีเดียว
      
        สอดล้องกับช่วงล่างที่หนึบแน่นหายห่วง ตัวรถทรงตัวดีทั้งในช่วงเข้า-ออกโค้ง และใช้ความเร็วสูงแล้ว(ลอง)เปลี่ยนเลนกะทันหัน ภายในห้องโดยสารนิ่ง ไร้อาการยวบย้อย หรือสาดใส่แรงๆแล้วท้ายบาน ขณะเดียวกันการรองรับก็นุ่มนวลกว่าปิกอัพเรนเจอร์แบบรู้สึกได้
      
        ฟอร์ด เอเวอเรสต์ โฉมใหม่ ใช้ช่วงล่างหน้าอิสระแบบคอยล์-โอเวอร์-สตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง ช่วงล่างหลังแบบคอยล์สปริงพร้อมวัตต์ลิงค์ ซึ่งตัวรถสูงใหญ่แต่เก็บอาการให้ตัวในแนวดิ่งหรือการโยนตัวในแนวนอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่พวงมาลัยแบบผ่อนแรงด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า(EPAS) ช่วยให้ควบคุมรถได้ง่าย ความเร็วต่ำน้ำหนักเบามือ ถ้าเพิ่มความเร็วมากขึ้นก็นิ่งแน่นมั่นใจ ไร้อาการสะท้านจากพื้นถนนในช่วงผ่านอุปสรรค...เหล่านี้มันสอดคล้องไปด้วยกัน

        สำหรับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อของเอเวอเรสต์ใหม่เป็นแบบฟูลไทม์ พร้อมระบบ Terrain Management System หลังสตาร์ทเครื่องยนต์ รถถูกตั้งค่ามาจากโรงงานให้เริ่มใช้ในโหมดปกติ ซึ่งโหมดนี้จะส่งกำลังไปยังล้อคู่หน้า-คู่หลัง 40/60 พร้อมปรับเสถียรภาพตามสภาพการขับขี่ เหนืออื่นใดผู้ขับยังเลือกได้ว่าจะเปลี่ยนไปที่โหมดหิมะ(ถนนลื่น) โหมดทราย และโหมดหิน (ดูตารางประกอบ) และในกรณีต้องลุยเส้นทางออฟโรดสุดโหดเรายังเลือกระบบขับเคลื่อนแบบ 4โลว์ และล็อกเฟืองท้ายได้อีกต่างหาก(มีปุ่มแยก)
        
        
ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ
ระบบส่งกำลัง
เบรกและระบบป้องกันล้อหมุนฟรี
คันเร่ง
พื้นผิวทั่วไปปรับแต่งให้เหมาะสมกับการขับขี่บนท้องถนน ด้วยอัตราส่วนแรงบิดล้อหลังและล้อหน้าที่ 60-40 โดยจะปรับระดับแรงบิดที่ส่งไปยังล้อหน้าให้เหมาะกับการหักเลี้ยวและการเร่งความเร็ว และลดการลื่นไถลให้น้อยที่สุดทำงานแบบปกติทำงานแบบปกติทำงานแบบปกติ
หิมะ / โคลน / หญ้าเพิ่มแรงบิดเพื่อเสริมการควบคุมรถบนพื้นผิวลื่นเปลี่ยนเกียร์สูงให้เร็วขึ้น และปรับลดเกียร์ต่ำให้ช้าลง เพื่อให้รอบเครื่องต่ำ ควบคุมง่ายเพิ่มการยึดเกาะถนน ลดการลื่นไถลลดความไวคันเร่งลงเพื่อควบคุมความเร็วที่แม่นยำมากขึ้น
ทรายเพิ่มแรงบิดสูง และสามารถล็อคเฟืองท้ายที่ความเร็วสูงกว่าโหมดอื่นๆปรับการเปลี่ยนเกียร์สูง-ต่ำให้ช้าลง ป้องกันไม่ให้มีการเปลี่ยนเกียร์หากไม่ได้เหยียบคันเร่ง และจะปรับลดเกียร์อย่างรวดเร็วเมื่อแตะเบรก เพื่อรักษาสมดุลของตัวรถปล่อยให้ล้อรถลื่นไถลได้มากขึ้น เพื่อให้รถสามารถรักษาสมดุลและขับเคลื่อนต่อไปได้"เพิ่มความไวคันเร่ง เพื่อให้เครื่องยนต์
ตอบสนองได้เร็วต่อทุกสัมผัส"
หินเพิ่มแรงบิดสูงสุดสำหรับพื้นผิวการขับขี่แบบวิบาก ให้ ใช้งานได้ในโหมดอัตราทดต่ำเท่านั้นป้องกันไม่ให้มีการเปลี่ยนเกียร์สูง และจะปรับเกียร์ลงเป็นเกียร์ 1 แทน เพื่อการควบคุมรถอย่างแม่นยำบนพื้นผิวขรุขระลดการลื่นไถลของล้อด้วยประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อให้รถเกาะถนนลดความไวคันเร่งลงเพื่อการควบคุมความเร็วที่แม่นยำมากขึ้น

        
        ขณะที่เครื่องยนต์ดีเซลดูราทอค 5 สูบ ขนาด 3.2 ลิตร มีการปรับปรุงนิดหน่อย (เหมือนเรนเจอร์ ไมเนอร์เชนจ์) ทั้งเรื่องของหัวฉีด และ EGR วาล์ว แต่ยังให้ประสิทธิผลเท่าเดิมคือ กำลังสูงสุด 200 แรงม้า ที่ 3,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 470 นิวตัน-เมตรที่ 1,750-2,500 รอบต่อนาที ซึ่งการปรับครั้งนี้ฟอร์ดน่าจะคำนึงถึงตัวเลขการปล่อยไอเสีย ที่ปีหน้า 2559 บ้านเราจะนำมาใช้ในการเก็บภาษีใหม่

        

        

        การตอบสนองของเครื่องยนต์และเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดนั้นไม่ต้องไปห่วงเขาละครับ(ไปห่วงค่าน้ำมันดีกว่า) อัตราเร่งดีทุกย่านความเร็ว พร้อมปลดปล่อยพละกำลังมาแบบเนียนๆ ส่วนเกียร์ก็ฉลาดเอาการเพราะจะคอยเก็บข้อมูล และบุคลิการเหยียบคันเร่งของคนขับ แล้วนำมาปรับให้สอดคล้องกับการขับขี่ต่อไป
      
        เครื่องยนต์ใหญ่ขับสบาย ใช้วิ่งทางไกลแรงดี ขับความเร็วเกิน 120 กม./ชม. ตัวรถยังมีสมดุลเพียงพอ ในการผ่านสภาพถนนแย่ๆ สภาพอากาศแปรปรวน ทั้งยังให้ความมั่นใจจากประสิทธิภาพของระบบเบรกที่เป็นดิส์เบรกทั้งสี่ล้อ ไม่รวมระบบความปลอดภัยแบบไฟฟ้าที่เข้ามาช่วยเหลืออีกเพียบ
      
        ด้านอัตราบริโภคน้ำมันจากการขับตามๆกันไปในขบวนทดสอบที่จังหวัดเชียงราย ใช้ความเร็ว 80-100 กม./ชม. บนเส้นทางคดเคี้ยว ผ่านหมู่บ้านเล็กๆและขึ้น-เขา ยังเห็นตัวเลขที่หน้าจอแถวๆ 8 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร หรือประมาณ 11 กิโลเมตรต่อลิตรครับ
      
        รวบรัดตัดความ....ในส่วนงานบริการหลังการขายคงต้องพิจารณาเป็นเรื่องๆ เป็นรุ่นๆ หรือด่าเป็นรายโชว์รูม บ่นให้ถึงบริษัทแม่ก็ว่ากันไป แต่เทียบความคุ้มค่าปอนด์ต่อปอนด์กับของที่ให้มา เอเวเรสต์ ชนะเลิศ ขณะที่สมรรถนะการขับขี่จากเครื่องยนต์ดีเซล 3.2 ลิตร เรี่ยวแรงเหลือเฟือ (แต่ก็ซดน้ำมันเอาเรื่อง) เมื่อเจอระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแถม Terrain Management System ยิ่งรู้สึกถึงศักยภาพที่เพิ่มขึ้น (แต่ยางของกู๊ดเยียร์ที่ใช้ในรุ่นท็อปยังเน้นการขับขี่แบบออนโรดมากกว่าออฟโรด) และถ้าจะติก็ตรงเบาะนั่งแถวสองความรู้สึกรวมๆอาจะไม่นุ่มนวลนั่งสบายนัก แต่ถ้าหากพิจารณาที่ตัวรถอย่างเดียว ณ ปัจจุบัน “เอเวเรสต์ โฉมใหม่” น่าจะขึ้นชั้นเป็น“พีพีวี”ดีที่สุดที่เมืองไทยเคยมีมา (ฟอร์จูนเนอร์ยังไม่ได้ทดสอบ ส่วนปาเจโร สปอร์ตยังไม่เปิดตัว?)
        
        
รุ่น
ราคา(บาท)
เครื่องยนต์ 3.2 ลิตร ไทเทเนี่ยม พลัส ขับเคลื่อนสี่ล้อ
1,599,000
เครื่องยนต์ 3.2 ลิตร ไทเทเนี่ยม ขับเคลื่อนสี่ล้อ
1,459,000
เครื่องยนต์ 2.2 ลิตร ไทเทเนี่ยม ขับเคลื่อนสองล้อ
1,269,000


วัตต์ลิงค์คืออะไร?
        
        แกนช่วงล่างแบบวัตต์ลิงค์ถูกพัฒนาขึ้นมาทดแทนแกนแบบเดิมที่รู้จักกันในชื่อแกนแพนฮาร์ด (Panhard Rod) ถึงแม้ว่าแกนช่วงล่างทั้งสองแบบจะมีหน้าที่รักษาตำแหน่งในแนวนอนของเพลาเหมือนกัน แต่มีวิธีการทำงานและประสิทธิภาพที่แตกต่างกันครับ
      
        โดยแกนช่วงล่างแบบแพนฮาร์ด จะมีเพลาที่ติดตั้งอยู่กับส่วนใดส่วนหนึ่งของตัวถัง บนก้านโลหะในแนวขวางที่ยาวเต็มความกว้างของตัวรถ เมื่อตัวถังรถเอียงขณะเข้าโค้ง แกนดังกล่าวนี้ก็จะเคลื่อนตามไปด้วย จึงทำให้รถมีลักษณะการขับขี่ที่ไม่สมดุล ซึ่งหากรถเข้าโค้งไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง ตัวถังของรถก็จะเอียงหรือบิดไปมากกว่าการเข้าโค้งในทางตรงข้าม ดังนั้นทีมวิศวกรจะต้องออกแบบรถยนต์ทั้งคันให้เข้ากับความไม่สมมาตรในขณะเข้าโค้งนี้
      
        สำหรับแกนช่วงล่างวัตต์ลิงค์ที่ใช้ในฟอร์ด เอเวอเรสต์ จะช่วยให้เพลาล้อสามารถเคลื่อนตัวขึ้นลงได้โดยแทบจะไม่ต้องมีการเคลื่อนตัวในแนวนอน ทำให้ทีมวิศวกรสามารถเสริมความแม่นยำและคล่องตัวในการขับขี่ให้กับรถได้ดียิ่งขึ้น
        

        

        

        

        

        

        

        

        



Credit : http://manager.co.th/Motoring/ViewNews.aspx?NewsID=9580000083839


everest2.jpg (114.27 KB, ดาวน์โหลดแล้ว: 728)

everest2.jpg

everest1.jpg (107.04 KB, ดาวน์โหลดแล้ว: 728)

everest1.jpg
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | .

รายละเอียดเครดิต

ขึ้นไปด้านบน